รีวิว iPhone 12 สีม่วง หลังใช้งานมา 1 เดือนเต็ม

แม้ว่า Apple จะเปิดตัวและวางจำหน่าย iPhone 12 มาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมาแล้วก็ตาม แต่ในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่รอบล่าสุด (รอบ iPad Pro รุ่นใหม่) ทาง Apple ก็ยังมีการเพิ่มสีมาเป็นตัวเลือกเพื่อกระตุ้นยอดขายอีก นั่นคือตัวเครื่องรุ่นสีม่วงที่มีมาให้ทั้งในรุ่นปกติและรุ่น mini ซึ่งทางเราก็ได้รับมารีวิวด้วยเช่นกันครับ โดยในรีวิวนี้จะเป็นการพูดในแง่ของความรู้สึกหลังจากที่ใช้งานเป็นเครื่องหลักมา 1 เดือนเต็ม เทียบกับเครื่องปัจจุบันที่ผมใช้อยู่คือ iPhone 11

ส่วนใครที่กำลังคิดอยากจะเปลี่ยนมาใช้ iPhone 12 อยู่ ก็สามารถเก็บข้อมูลในการตัดสินใจจากในรีวิวนี้ก็ได้เช่นกันครับ เพราะพื้นฐานของเครื่องนั้นก็เท่ากับรุ่นเดียวกันที่เปิดตัวมาก่อนหน้านี้เลย ต่างกันแค่สีของฝาหลัง และขอบเครื่องเท่านั้นเอง

• รุ่นที่ขายในไทยจะรองรับ 5G เฉพาะแบบ sub-6 เท่านั้น

สเปคของเครื่องนั้น จัดว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงเลยเมื่อเทียบกับมือถือรุ่นอื่น ๆ ในปัจจุบัน แรม 4 GB นั้นเพียงพอสำหรับการใช้งาน iOS อยู่แล้ว หน้าจอก็ใช้เป็นแบบ OLED Super Retina XDR ที่ได้ประโยชน์ในเรื่องของการใช้พลังงานที่ต่ำกว่าพาเนล IPS เข้ามา จะมีที่น่าคิดหน่อยก็คือความจุแบตเตอรี่ที่ยังคงไม่ถึง 3,000 mAh ซึ่งเทียบแล้วยังจัดว่าน้อยกว่า iPhone 11 เสียอีก แถม 5G เองในตอนนี้ก็ยังใช้แบตที่ค่อนข้างเยอะอยู่ด้วย จึงน่าสนใจว่าจะสามารถใช้งานได้จนหมดวันหรือเปล่า ถ้าใช้งาน 5G แบบเต็มสตรีม

หน้ากล่องก็จะมีภาพหน้าจอที่เลือกใช้วอลล์เปเปอร์โทนสีม่วง เช่นเดียวกับบริเวณโลโก้กับคำว่า iPhone ที่มีสีเหลือบม่วงตรงตามกับสีของตัวเครื่องด้วย ส่วนตัวกล่องก็แน่นอนครับ มาในแบบบาง ตามนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของ Apple เอง ที่จะลดการใช้ทรัพยากรลง

ด้านหลังกล่องก็จะมีข้อมูลระบุไว้ ทั้งรุ่น สี ความจุ ไปจนถึงรหัสโมเดลว่าเป็น A2403 ที่เป็นรหัสเดียวกับรุ่นปกติ ส่วนตัวเครื่องก็ยังคงประกอบในจีนตามปกติอยู่ โดยตัวเครื่องศูนย์ไทยก็จะเป็นแบบใส่ได้ 1 ซิมการ์ด + 1 eSIM นะครับ

อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องก็ตามสไตล์ของ Apple ยุคหลังปี 2020 เลย คือมีแค่สาย Lightning to USB-C, เข็มจิ้มถาดใส่ซิม, เอกสารการใช้งานเบื้องต้น, สติกเกอร์โลโก้ Apple 1 ดวง

ไม่มีหูฟังและอะแดปเตอร์ชาร์จมาให้นะครับ ซึ่งถ้าจะหาอะแดปเตอร์แบบ USB-C มาใช้ แนะนำว่าควรจะหาตัวที่รองรับ USB-PD ที่จ่ายไฟแบบชาร์จเร็วได้อย่างต่ำซัก 20W จะดีกว่า เพื่อจะได้สามารถชาร์จเร็วได้ตามศักยภาพของตัวเครื่อง หรือถ้าจะชาร์จไร้สาย ก็หาแท่นชาร์จ Qi หรือแท่น MagSafe มาใช้ก็ได้ตามต้องการครับ

เรื่องรูปร่างหน้าตาก็ยังคงเป็นสไตล์ iPhone อยู่เหมือนเดิม คือมีแถบดำด้านบนที่ค่อนข้างยาวซักนิดนึง เพื่อเป็นตำแหน่งในการติดตั้งกล้องหน้า ลำโพง ไปจนถึงแถบเซ็นเซอร์ และอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ เพื่อใช้ในการสแกนใบหน้าของฟังก์ชัน Face ID ส่วนขอบจอด้านข้าง ด้วยการเปลี่ยนดีไซน์มาเป็นขอบเหลี่ยมตัด จึงทำให้ส่วนดำของขอบจอดูบางลงกว่า iPhone 11 เล็กน้อย ส่วนกระจกหน้าจอจะเป็นแบบเซรามิกชิลด์

ความสว่างและสีสันของจอ iPhone 12 นั้นทำได้ดีตามเกณฑ์ของ iPhone รุ่นมาตรฐานประจำปี มุมมองกว้าง สู้แสงได้สบายมาก รายละเอียดของภาพนั้นก็ไม่ใช่ปัญหาด้วยความหนาแน่นของเม็ดพิกเซลในระดับ Super Retina ที่ทำให้ภาพดูเนียนตา และด้วยการรองรับสีระดับ Display P3 และ HDR (Dolby Vision, HDR10, HLG) จึงทำให้สามารถแสดงสีสันในคอนเทนต์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ด้านของฟังก์ชัน True Tone ก็ช่วยปรับโทนสีภาพให้เหมาะสมกับสภาพแสงโดยรอบได้แบบเนียน ๆ เลย

จะติดก็แต่เรื่องรีเฟรชเรตจอที่ยังคงเป็น 60Hz อยู่ ต่างจากกลุ่มมือถือ Android ที่เดี๋ยวนี้แทบจะไปเริ่มที่ 90Hz กันแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องของความลื่นไหลในการเลื่อนไอคอน เลื่อนหน้าจอ ก็ต้องบอกว่า iOS ยังคงทำได้ค่อนข้างเนียนตาอยู่ แต่อาจจะดูติดมือน้อยกว่าพวกจอ Hz สูง ๆ นิดหน่อย ก็หวังว่าปีนี้เราจะได้เห็นจอรีเฟรชเรตสูงจากฝั่ง iPhone บ้างซะที

บริเวณขอบโลหะของตัวเครื่อง ยังคงใช้เป็นแบบเหลี่ยมอยู่ โดยจะใช้เป็นสีม่วงสไตล์เมทัลลิกรับกับฝาหลังได้ดี

ฝาหลังก็จะเป็นกระจก ที่มีฝาหลังสีม่วงอยู่ข้างใต้อีกที ซึ่งจะเป็นสีม่วงโทนอ่อนพาสเทลที่อ่อนลงจากขอบเครื่องเล็กน้อย ที่ค่อนข้างแตกต่างจากสีในหน้าเว็บเล็กน้อย ด้านของกล้องหลังก็จะมีมา 2 เลนส์ ที่มีขอบและกระจกปิดเลนส์หนาขึ้นมาจากฝาหลังเล็กน้อย

บริเวณขอบเครื่องด้านบน ไม่มีพอร์ตเชื่อมต่อใด ๆ มีแต่เพียงขีดที่มีไว้เพื่อช่วยในการรับสัญญาณของเสาอากาศภายในเครื่อง

ด้านล่างมีทั้งไมค์ ลำโพง และก็ช่อง Lightning

ส่วนฝั่งซ้ายจะมีทั้งสวิตช์เปิด/ปิดเสียง ปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง และก็ถาดใส่ซิมการ์ด

จากที่ผมสลับมาใช้ iPhone 12 สีม่วงเครื่องนี้เป็นเครื่องหลัก แน่นอนว่ารูปแบบการใช้งาน ไปจนถึง UI และ UX ต่าง ๆ นั้นแทบไม่ต่างจากเดิมเลย สิ่งที่เคยทำได้บน 11 ก็ยกมาใช้ต่อบน 12 ได้แบบราบรื่น นับตั้งแต่การตั้งค่าเครื่องครั้งแรก ที่แม้ผมจะเลือก set up แบบเครื่องใหม่ที่ไม่ได้ดึง backup ของแอปจากเครื่องเก่ามาเลย โดยเลือกมาโหลดแอปใหม่เอง แต่พวกการตั้งค่าต่าง ๆ เช่น รหัส WiFi รวมถึงพวกข้อมูลปฏิทิน เบอร์โทร บันทึกต่าง ๆ ที่ซิงค์ไว้บน iCloud ก็ถูกโหลดมาให้ใช้งานต่อได้แบบราบรื่นสุด ๆ ซึ่งก็เป็นข้อดีของการซิงค์ผ่าน iCloud ในฝั่งผลิตภัณฑ์ Apple อยู่แล้ว

ภาคการรับสัญญาณ แน่นอนว่าสิ่งที่ต่างไปจากเดิมก็คือ iPhone รุ่นนี้รองรับ 5G ในไทย ทำให้มีตัวเลือกให้สามารถปรับได้ว่าจะให้เครื่องจับสัญญาณ 5G แบบ On (บังคับเปิดตลอด) หรือแบบ Auto (จับ 5G เมื่อสัญญาณดี) ก็ได้ รวมถึงยังสามารถบังคับให้จับเฉพาะ 4G LTE อย่างเดียวก็ได้เช่นกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับพื้นที่ในการใช้งานประจำครับ ถ้าใช้งานอยู่ในพื้นที่ที่มี 5G ให้ใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง แล้วต้องการความเร็วสูงสุดเท่าที่จะทำได้อยู่ตลอดเวลา ก็เลือกเป็น 5G On ไป

ส่วนถ้าอยู่ในบริเวณที่สลับไปมาระหว่าง 5G กับ 4G ก็เลือกเป็น 5G Auto ไปก็ได้ครับ เพื่อให้ระบบพยายามจับ 5G ในเวลาที่สัญญาณ 5G แรงพอ เพื่อลดอัตราการใช้งานแบตเตอรี่ที่มักจะมีอาการแบตไหล เมื่ออยู่ในบริเวณที่สัญญาณอ่อน แต่ถ้าใช้งานอยู่ต่างจังหวัด รวมถึงบริเวณที่ 5G ยังไม่ครอบคลุม ก็ใช้เป็น 4G อย่างเดียวไปเลยดีกว่า ประหยัดแบตชัวร์ ๆ

ประเด็นของแบตเตอรี่ แม้ว่าความจุของแบตตามสเปคจะลดลงเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า แต่ด้วยการพัฒนาให้ชิป A14 Bionic มีประสิทธิภาพดีขึ้น โดยใช้พลังงานน้อยลง ซึ่งเท่าที่ผมใช้งานมา ถ้าเปิด 5G ตลอดเวลา อันนี้ก็อาจจะทำให้ใช้งานได้แค่เกือบหมดวันเท่านั้น ถ้าอยากใช้งานให้ได้หมดวันแบบชัวร์ ๆ ในกรณีที่ไม่อยากชาร์จระหว่างวัน ก็อาจจะต้องใช้โหมด 5G Auto หรือเปิดแค่ 4G ไปเลย

iPhone 12 สีม่วงเครื่องที่ทดสอบ มาพร้อมกับ iOS 14.5 ซึ่งตอนนี้รองรับการอัพเดตมาถึงเวอร์ชันล่าสุดอย่าง iOS 14.6 แล้ว จุดเด่นก็คือสามารถวางวิดเจ็ตไว้บนหน้าโฮมได้แล้ว ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน การดูข้อมูลสำคัญต่าง ๆ ได้ดีทีเดียว ส่วนด้านความจุนั้น เครื่องที่เราทดสอบเป็นรุ่น 256 GB จะเหลือให้ใช้งานตอนเปิดเครื่องประมาณ 246 GB

สำหรับการเทียบทั้งสองรุ่นนี้ ต้องบอกว่าโดยทั่วไปแล้ว การใช้งานแทบจะไม่ต่างกันมากจนถึงขั้นเห็นได้ชัดครับ ด้วยประสิทธิภาพของฮาร์ดแวร์ใน iPhone 11 ที่ยังโอเคอยู่ รองรับ iOS รุ่นล่าสุดได้แบบไม่มีปัญหา จะมีจุดแตกต่างกัน เท่าที่ผมสัมผัสได้ก็เช่น

iPhone 12 จะมีมิติของตัวเครื่องที่เล็กกว่า 11 อยู่เล็กน้อย ตามภาพด้านบนเลยครับ รวมถึงส่วนของความบางด้วย ทำให้เวลาพกพา เวลาหยิบขึ้นมาใช้งาน ผมจะรู้สึกว่ามันกระชับมือกว่าเล็กน้อย แต่ถ้าถามถึงความสบายมือ อันนี้ส่วนตัวผมยกให้ iPhone 11 ทำได้ดีกว่า ด้วยการออกแบบให้ขอบเครื่องมีความโค้ง ต่างจากใน 12 ที่ใช้เป็นขอบเหลี่ยมตัดตรงเลย

แม้ว่า iPhone 11 จะใช้พาเนลแบบ IPS เกรดค่อนข้างสูงก็ตาม แต่ถ้าลองใช้งานเทียบกันไปมาจริง ๆ จะพบว่าสีของจอ OLED Super Retina XDR ใน 12 จะให้สีที่ดูเป็นธรรมชาติกว่าเล็กน้อย ด้วยการใช้พาเนลแบบ OLED ทำให้ได้คอนทราสต์ที่ดี สีดำที่ดูดำสนิทกว่า ส่วนฝั่งของ iPhone 11 ที่ใช้หลอดไฟให้แสงอยู่ด้านหลังแผงจออีกที ทำให้ภาพดูติดสว่างเล็กน้อย

สำหรับประเด็นนี้ ดูเผิน ๆ จะเหมือนว่าไม่น่าต่างกันเยอะ เพราะชิป A13 กับ A14 นั้นมีอายุต่างกันแค่ปีเดียว แต่ถ้าลองใช้งานสลับกัน จะพบว่ามันมีความแตกต่างกันอยู่เล็กน้อยครับ คือฝั่งของ 12 จะสามารถโหลดเปิดแอปได้เร็วกว่ากันอยู่นิดนึง แต่ก็นิดเดียวมาก ๆ ครับ ถ้าไม่ซีเรียสก็ไม่มีปัญหาเลย

ในด้านนี้ จุดที่แตกต่างกันที่เห็นได้ค่อนข้างชัดหน่อยก็คือเลนส์อัลตร้าไวด์ใน iPhone 12 ที่สามารถถ่ายโหมดกลางคืนได้ด้วย รวมถึงความคมชัดของบริเวณขอบภาพที่ทำออกมาได้ชัดกว่า 11 พอสมควรเลย

พอหันฝาหลังมาเทียบกันก็เห็นได้ชัดเลยว่า iPhone 11 มีตัวเครื่องที่ใหญ่กว่า 12 จริง ๆ และในเรื่องของน้ำหนักก็สอดคล้องกันครับ โดยฝั่ง iPhone 11 จะมีน้ำหนักเครื่องมากกว่าอยู่ประมาณ 32 กรัม

ลำโพงของทั้งสองรุ่นก็เป็นแบบสเตอริโอที่รองรับ Dolby Atmos เหมือนกัน เท่าที่ผมลองฟังเทียบกันแล้ว พบว่าไม่ต่างกันครับ ทั้งด้านของระดับความดัง มิติเสียง และแนวเสียง

ด้านของการใช้งานแบตเตอรี่ ถ้าเทียบที่การใช้ 4G LTE เท่ากัน ก็ต้องบอกว่าไม่ได้มีจุดที่แตกต่างกันกับตอนที่ผมใช้ iPhone 11 ช่วงแรก ๆ เลยครับ คือสามารถใช้งานได้หมดวันเหมือนกัน แต่ถ้าเทียบกับตอนนี้ก็คงไม่ได้ละ เพราะ iPhone 11 ของผม ค่าประสิทธิภาพแบตเหลือสูงสุดแค่ 81% เอง ทำให้ ณ ตอนนี้ iPhone 12 ยังใช้งานแบตได้นานกว่า 11 ในมือพอสมควรเลย

iPhone 12 มาพร้อมกล้องหลัง 2 เลนส์ ได้แก่เลนส์ไวด์ และเลนส์อัลตร้าไวด์ ซึ่งทั้งสองนั้นรองรับการใช้งานโหมดกลางคืน การเพิ่มความละเอียดด้วย Deep Fusion รวมถึงมีระบบชดเชยการสั่นแบบ OIS มาให้ใช้งานได้แบบครบ ๆ เลย ทำให้มีจุดที่ได้รับการอัพเกรดขึ้นจากรุ่นเดิมอย่างเห็นได้ง่ายสุดก็คือภาพจากเลนส์อัลตร้าไวด์ที่ดูคมขึ้น เก็บแสงได้ดีขึ้นจนสามารถใช้ถ่ายกลางคืนได้เหมือนเลนส์หลักเลย

ส่วนเลนส์ไวด์ปกติที่เป็นเลนส์หลักนั้น ที่จริงมีการปรับเปลี่ยนด้านฮาร์ดแวร์เล็กน้อยเมื่อเทียบกับรุ่นเก่าคือ มีการเพิ่มความกว้างรูรับแสงจาก f/1.8 เป็น f/1.6 แล้ว ช่วยให้สามารถเก็บแสงได้มากขึ้น ถ่ายภาพกลางคืนได้ดีและง่ายขึ้นกว่าเดิม รวมถึงยังช่วยในการถ่าย portrait ให้สามารถเบลอหลังได้ดูเป็นธรรมชาติขึ้นกว่าเดิมด้วย

ภาพด้านบนเป็นตัวอย่างภาพที่ได้จากเลนส์ไวด์ปกติ การโฟกัส การเก็บแสงและสีสันก็ยังคงเป็นสไตล์ iPhone อยู่ คือทำได้เร็วและค่อนข้างแม่นยำ โดยในภาพนี้เป็นการเปิด HDR แบบอัตโนมัติ (Smart HDR) ที่ทำงานได้รวดเร็วมาก ๆ

ส่วนภาพนี้เป็นตัวอย่างจากเลนส์อัลตร้าไวด์ครับ จะเห็นว่าบริเวณขอบภาพนั้นยังมีรายละเอียดที่ค่อนข้างคมอยู่เลย ไม่ต้องพูดถึงบริเวณกลางภาพที่คมดีมากอยู่แล้ว การเก็บสีสัน และแสงสว่างก็จัดว่าแทบไม่ได้ต่างจากเลนส์ไวด์หลักมากนักด้วย ต่างจากใน iPhone 11 ที่จะสังเกตได้ว่าภาพจากเลนส์อัลตร้าไวด์มักจะดูดร็อปกว่าภาพจากเลนส์หลักเล็กน้อย

ซึ่งถ้าอยากจะเทียบความแตกต่างระหว่างภาพที่ถ่ายจาก iPhone 12 และ iPhone 11 แนะนำว่าลองไปอ่านต่อจากในรีวิว iPhone 12 mini ที่ผมเคยทำไว้ก็ได้ครับ เพราะฮาร์ดแวร์ใน 12 และ 12 mini นั้นแทบจะเหมือนกันเลย โดยจะมีภาพให้เทียบในหลายสถานการณ์อยู่เหมือนกัน

สำหรับการถ่ายภาพในที่มืด อันที่จริง Apple ถือว่าเริ่มทำมาสู้กับคู่แข่งได้สูสีขึ้นมาตั้งแต่รุ่นก่อนหน้าแล้ว พอมาใน iPhone 12 นี้ก็ยังทำได้ดีเช่นเดิม แถมยังใช้งานได้ง่ายกว่าด้วย เนื่องจากการเปลี่ยนมาใช้เลนส์รูรับแสงกว้างขึ้น ส่วนการเก็บรายละเอียดต่าง ๆ ก็ถือว่าทำได้ดีเลย ตาม 4 ภาพด้านบนครับ โดยฝั่งซ้ายจะเป็นภาพที่ถ่ายแบบไม่ใช้ Night mode ส่วนภาพขวาคือเปิด Night mode auto แบบให้ระบบคำนวณเวลาในการเปิดชัตเตอร์ค้างไว้เอง ผลที่ได้นั้นจัดว่าน่าพอใจเลย

ในการทดสอบประสิทธิภาพ อันนี้ผลก็ค่อนข้างจะแน่นอนอยู่แล้วครับว่าต้องได้คะแนนในระดับสูงแน่นอน เนื่องจากชิป A14 Bionic นี้จัดว่าเป็นชิประดับท็อปในปัจจุบันเลย ส่วนผลจากแอป Geekbench 5 ถ้าลองเทียบคะแนนทั้งส่วน single และ multi core นั้นก็ทำได้ในระดับที่สูงในเกณฑ์ท็อปสุดเทียบเท่ากับรุ่น Pro และ Pro Max ที่ใช้ชิปตัวเดียวกัน

สำหรับในภาพขวาสุดก็เป็นผลการทดสอบความเร็วของ 5G จากเครือข่าย AIS แถวบ้านผมครับ ก็ได้ตามเกณฑ์แหละนะ แน่นอนว่าถ้าเจอบริเวณที่ปล่อยสัญญาณ ปล่อยแบนด์วิธแบบเต็ม ๆ มีคนแชร์น้อย ก็จะได้ความเร็วสูงกว่านี้แน่นอน

ในการเล่นเกม แม้ว่าจะสามารถเปิดกราฟิกระดับสูงสุดได้สบาย ๆ แม้จะเป็นเกมที่กินสเปคหนัก ๆ อย่าง Genshin Impact ก็ตาม แต่สิ่งที่ส่งผลตามมาก็คือความร้อนที่จะพุ่งสูงขึ้นมาตรงบริเวณกลางเครื่อง ค่อนไปทางฝั่งขวา (ใกล้ ๆ จุดแหว่งของโลโก้ Apple) ซึ่งเป็นตำแหน่งของตัวชิป A14 Bionic รวมถึงอัตราการใช้แบตที่ซดเร็วพอสมควร

ดังนั้น ถ้าให้แนะนำเรื่องกราฟิก ก็ปรับพวก quality ลงมาซักระดับกลางหรือสูงก็พอ แล้วเลือก FPS ที่ 60 เพื่อจะได้กินพลังกราฟิกลดลงเล็กน้อย แต่ยังได้เรื่องความสวยงามของภาพที่ยังดีอยู่ และเฟรมเรตที่ลื่นไหลเหมือนเดิม

อีกเกมที่ได้ลองก็คือ Cookie Run: Kingdom ครับ บอกเลยว่าลื่นมาก แทบไม่เจอจังหวะกระตุกเท่าไหร่เลย ส่วนพวกเกมอื่น ๆ ก็สบายมาก ปรับสุดได้ตามต้องการ

จากที่ผมใช้งาน iPhone 12 สีม่วงเครื่องนี้มา 1 เดือน บอกได้เลยว่ามันเป็นสมาร์ตโฟนที่ลงตัวมากสำหรับการใช้งานในหลากหลายรูปแบบ ทั้งใช้โซเชียล ถ่ายรูป อัดคลิป ไลฟ์ เล่นเกม ฟังเพลง ดูหนัง ประกอบกับความกะทัดรัดที่ทำออกมาได้ลงตัวยิ่งขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า เรียกว่าถ้าใครที่กำลังเล็งว่าจะเปลี่ยนมาใช้ iPhone เครื่องแรก หรืออยากเปลี่ยนมาใช้ iPhone เครื่องใหม่ ตอนนี้ตัวของ iPhone 12 เองก็อยู่ในจุดที่น่าสนใจมาก ๆ ทั้งเรื่องความนิ่งในการใช้งาน โปรโมชันราคา แพ็คเกจต่าง ๆ ที่มีให้เลือกค่อนข้างเยอะเลย

ส่วนใครที่ใช้งาน iPhone 11 อยู่ แล้วกำลังคิดหน้าคิดหลังว่าจะเปลี่ยนมาเป็นรุ่นนี้ดีมั้ย หรือรอ iPhone 13 ดี ตอนนี้เท่าที่มีข่าวลือ iPhone 13 ออกมา หลัก ๆ จะเป็นเรื่องรอยบากด้านบนจอที่น่าจะเล็กลง อาจใช้จอ 120Hz และก็มีกล้องที่ดีขึ้นเล็กน้อย ซึ่งถ้ามองว่าฟังก์ชันเหล่านี้ไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็น การเลือก iPhone 12 ในตอนนี้ก็ยังค่อนข้างคุ้มอยู่ สามารถใช้งานได้อีกยาว ๆ

ถ้ามองว่าเรื่องแบตเตอรี่ของ iPhone 12 ที่ดูยังไม่ค่อยตอบโจทย์การใช้งานของตนเอง รวมถึงยังลองวัดใจกับดีไซน์ของรุ่นใหม่ การจะลองรอดู iPhone 13 ก็น่าสนใจไม่น้อยเหมือนกัน แต่คงต้องรออีกร่วม ๆ 5 เดือนเลยทีเดียว อันนี้ก็คงขึ้นอยู่กับสภาพเครื่องปัจจุบันที่ใช้งานอยู่เป็นหลักเลยครับ

แต่ถ้าคุณอยากได้มือถือสีม่วงอ่อน เก๋ ๆ มาใช้ซักเครื่อง ก็ซื้อเลย!!! iPhone 12 สีม่วงนี่แหละ ลงตัว :)

Write a Comment