รวมข้อมูล iPhone 13 มีกี่รุ่น สเปคแบบไหน วางขายไทยเมื่อไหร่ ราคาเริ่มต้นกี่บาท

iPhone 13 ทั้ง 4 รุ่น ไล่ตั้งแต่รุ่น mini ไปจนถึง Pro Max ได้เดินทางมาเปิดตัวในงาน California Streaming ซึ่งตอนนี้ประเทศไทยเราอยู่ Tier 2 เป็นที่เรียบร้อย พรีออเดอร์วันแรก 1 ตุลาคมนี้ ก่อนจะวางขายในอีกสัปดาห์ถัดไป ว่าแต่สเปคจะมีอะไรบ้าง มาหาคำตอบได้ในบทความนี้เลยครับ

สามารถคลิกไปอ่านข้อมูลทั้งหมดของ iPhone 13 , 13 mini และตัวท็อปอย่าง iPhone 13 Pro และ 13 Pro Max ได้เลยครับ

แม้ว่าในรุ่นเวอร์ชั่น mini ใน iPhone 12 จะทำยอดขายได้ไม่เป็นไปตามที่บริษัทฯ คาดหวังเอาไว้ แต่ในปีนี้พวกเขาก็ยืนกรานนำ iPhone 13 มาเปิดตัวพร้อม ๆ กับรุ่นพี่อยู่ดี

ดีไซน์และการออกแบบยังเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนไปจาก iPhone 12 เท่าไหร่

iPhone 13 Series รอบนี้ ดีไซน์การออกแบบแทบจะไม่ต่าวอะไรกับรุ่นก่อนหน้าสักเท่าไหร่ เพียงแค่ว่าขนาดรอยบาก หรือ ​Notch ของหน้าจอลดลงเท้านั้นเอง

โดยในครั้งนี้ก็เป็นไปตามที่นักวิเคราะห์อย่าง Ming-Chi Kuo ระบุเอาไว้อย่างชุดเจนว่า iPhone 13 Series ทั้ง 4 รุ่น จะเลือกใช้จอ OLED แต่น่าเสียดายที่จะมีแค่เฉพาะรุ่น Pro และ Pro Max เท่านั้น

Mocotakara เผยว่า กล้องของ iPhone 13 Pro และ Pro Max จะมีขนาดที่เท่ากัน ซึ่งนั่นอาจเป็นสัญญาณว่า รุ่น Pro จะมาพร้อมกับระบบกันสั่นแบบ Sensor-Shift ที่ประสิทธิภาพดีกว่าระบบกันสั่นทั่วไป OIS และ EIS อยู่ประมาณหนึ่ง ส่วนรุ่น mini และธรรมดา ยังคงชวดไม่ได้ระบบกันสั่นสุดเทพนี้ไป แต่ยังดีที่บริษัทฯ อาจใจดี ตัดสินใจใส่เซ็นเซอร์ LiDAR มาให้ ไม่ได้จำกัดแค่เฉพาะรุ่น Pro กับ Pro Max เฉกเช่นสมัยก่อน

อย่างไรก็ตาม ข้อมูล LiDAR ในรุ่น mini กับธรรมดา ยังคงมีเสียงแตกกันอยู่บ้าง บางสำนักบอกว่าเป็น Pro (Max) Exclusive บางสำนักบอกว่า iPhone 13 ทั้งซีรีส์ได้หมดเลย ซึ่งตรงนี้ก็ต้องมารอลุ้นกันอีกทีในงานเปิดตัวในอีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้ครับ

นอกจากนี้ แหล่งข่าวยังเปิดเผยอีกว่า Apple จะใส่เลนส์ Shappire ที่มีความแข็งแกร่งไม่เป็นสองรองใคร (นาฬิการุ่นแพง ๆ มักใช้กัน) มาป้องกันกล้องของ iPhone 13 Series ไม่ให้เกิดความเสียหาย จากพวงกุญแจ หรือกรรไกร ของมีคมต่าง ๆ

รอบนี้ iPhone 13 และ 13 Pro Max จะใส่เซ็นเซอร์กล้อง Ultra-Wide เวอร์ชั่นอัปเกรดจากเลนส์ 5 ชิ้น FF มาเป็นเลนส์ 6 ชิ้น ค่ารูรับแสง f/1.8 และที่สำคัญคือรองรับการโฟกัสแบบอัตโนมัติ หรือ Autofocus แล้ว นอกจากนี้ iPhone 13 ยังจะมาพร้อมกับฟีเจอร์ Portrait Mode สำหรับการถ่ายวิดีโอ เบลอฉากหลังขณะถ่ายได้ หรือแม้กระทั่งปรับแต่งอีกทีหลังจากถ่ายคลิปเสร็จแล้ว ลักษณะการทำงานจะคล้าย ๆ กับ Portrait Mode สำหรับการถ่ายภาพบุคคลทั่วไปของ iPhone 12 ในตอนนี้

ซึ่ง Portait Mode ทั้งของวิดีโอและภาพนิ่ง จะมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิม หลัง Apple เตรียมเขียนโปรแกรมรีดประสิทธิภาพของเซ็นเซอร์ LiDAR ออกมาให้ได้มากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีข่าวลืออีกว่า Apple จะใส่ฟีเจอร์ Astrophotography มาไว้ใน iPhone 13 สำหรับเอาไว้ล่าทางช้างเผือกโดยเฉพาะ

ชิปเซ็ค A15 Bionic บนสถาปัตยกรรม 5nm+ จาก Fast สู่ Faster

หากไม่มีอะไรผิดผลาด ทาง Apple น่าจะใส่ชิป A15 Bionic มาไว้ใน iPhone 13 ทั้ง 4 รุ่น ใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ 5nm+ ของ TSMC ซึ่งคาดว่าประสิทธิภาพน่าจะแรงกว่ารุ่นก่อนหน้าอยู่เท่าตัวเลยทีเดียวแหละ อย่างน้อย ๆ ก็น่าจะราว ๆ 20 – 30% โดย A15 Bionic ทาง TSMC เคลมว่า ประสิทธิภาพจะแรงกว่าเดิม แต่ประหยัดแบตขึ้น

ใครกำลังรอลุ้นให้ Apple หันมาใช้พอร์ต USB-C กับ iPhone หรือตัดพอร์ตทิ้งให้หมด แล้วดันให้การชาร์จไร้สาย (Wireless Charging) แทน อันนี้ก็อาจจะต้องรอเก้อ เพราะ Ming-Chi Kuo บอกว่า Apple อาจจะยึดติดกับพอร์ต Lightning ต่อไปยาวๆ

Ming-Chi Kuo ได้รายงานว่า Apple ไม่มีแผนที่จะเปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB-C กับ iPhone รุ่นต่อไป รวมถึงนำเซ็นเซอร์สแกนนิ้ว Touch ID ไปฝังร่วมกับปุ่ม Power เหมือนกับ iPad Air 4 รุ่นล่าสุด นอกจากนี้ยังเพิ่มเติมอีกว่า iPhone รุ่นไร้พอร์ตที่ตอนแรกลือกันว่าจะมาใน 1 – 2 ปีข้างหน้า ตรงนี้ก็อาจจะต้องรอต่อไปยาวๆ เพราะว่า Apple ยังไม่เชื่อว่า MagSafe สามารถใช้งานแทนการชาร์จแบบปกติทั่วไป ณ ตอนนี้

โดยโมเด็ม Snapdragon X60 ของ iPhone 13 จะมีสเปคที่ต่างจากรุ่นธรรมดาเล็กน้อย ตรงที่อาจรองรับการใช้งานโทรศัพท์ผ่านดาวเทียม ส่งข้อความหรือโทรเข้า – ออกได้ในยามฉุกเฉิน แม้จะอยู่ในที่อับสัญญาณหรือไม่มีสัญญาณก็เป็นได้ ทั้งนี้ก็มีหลายฝ่ายออกมาเบรกว่า ชิป X60 รุ่นคัสตอมนั้นจะเพิ่มการรองรับคลื่น n53 เข้ามาเท่านั้น ไม่ใช่รองรับระบบดาวเทียมอย่างที่เข้าใจกันไว้ในตอนแรก

Write a Comment