10 วิธีดูแลมือถือ ยืดอายุการใช้งาน ไม่ให้มือถือช้า อืด
เชื่อได้เลยว่าในการซื้อโทรศัพท์มือถือมาใช้งานสักเครื่อง ไม่ว่าจะถูกหรือแพงอย่างไร ผู้ใช้ทุกคนย่อมคาดหวังว่าจะได้ใช้มือถือเครื่องนั้นให้คุ้มค่ายาวนานไปจนกว่าจะถึงเวลาที่อยากเปลี่ยนมือถือใหม่โดยความตั้งใจ ไม่ใช่เพราะเหตุสุดวิสัยหรือเพราะมือถือพังก่อนเวลาอันควร
และแน่นอนว่าการที่โทรศัพท์มือถือจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานแค่ไหน นั่นก็ย่อมขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานของแต่ละคนด้วย ฉะนั้นเราควรมาเรียนรู้เทคนิคการใช้งานที่จะช่วยดูแลรักษามือถืออย่างถูกต้องกันสักหน่อย เพื่อที่จะทำให้เจ้าอุปกรณ์ในมือคุณได้อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ
น่าจะเป็นขั้นตอนแรกที่ควรทำเลยหลังจากซื้อมือถือ ก็คือการติดฟิล์มกันรอยหน้าจอหรือรอบตัวเครื่อง พร้อมทั้งใส่เคสกันรอยเพื่อกันกระแทก ซึ่งมือถือบางรุ่นก็จะมีแถมมาให้ในกล่อง เราก็จัดแจงให้พนักงานขายใส่ให้ได้เลย หรืออาจไปซื้อพวกกระจกนิรภัยและเคสชนิดพิเศษมาใช้ก็ได้เช่นกัน เพื่อความปลอดภัยที่มากกว่า แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องใช้มือถืออย่างระมัดระวังด้วยนะ
ใครจะรู้ว่าปัญหาบางอย่างของมือถือนั้น อาจแก้ได้ง่าย ๆ เพียงแค่ทำความสะอาดตัวเครื่องและพอร์ตเชื่อมต่อต่าง ๆ ให้สะอาด เพราะปัญหาอาจเกิดจากพวกฝุ่นผงและคราบไขมันที่เข้าไปสะสมตามซอกต่าง ๆ ของเครื่อง โดยให้ทำความสะอาดมือถือของคุณด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์ ใช้คอตตอนบัดเช็ดตามซอกเล็ก ๆ และช่องพอร์ตให้เรียบร้อย
ถึงมือถือสมัยนี้จะกันน้ำกันฝุ่นได้ดีแค่ไหน แต่โอกาสที่มือถือตกน้ำแล้วเครื่องช็อตหรือพังก็ยังมีอยู่ ทางที่ดีไม่ควรนำมือถือไปอยู่ใกล้แหล่งความชื้น โดยเฉพาะใครที่ชอบหยิบมือถือเข้าห้องน้ำไปด้วย ถ้าเกิดตกน้ำตกท่าขึ้นมา มือถืออาจจะพังก็ได้ หรือคุณผู้หญิงที่ใส่มือถือรวมกับเครื่องสำอางในกระเป๋า ก็ให้ระวังเครื่องสำอางจำพวกของเหลวให้ดี ถ้าเกิดมีอะไรรั่วซึมจนเลอะกระเป๋า มือถือของคุณก็อาจจะพลอยโดนไปด้วย
แม้การใส่เคสกันกระแทกและติดฟิล์มกันรอยรอบตัวเครื่องจะเป็นวิธีป้องกันที่ดี แต่ยังไงการป้องกันไว้ย่อมดีกว่าแก้ อย่างน้อยก็อย่าเก็บมือถือไว้รวมกับสิ่งของเหล่านี้ เช่น พวงกุญแจ เศษเหรียญ ของชิ้นเล็กที่มีความแหลมคม เพราะเป็นตัวการสร้างรอยขีดข่วนบนมือถือเลยล่ะ
สำหรับปัญหามือถือช้า อืด จนทำให้หลายคนตัดสินใจซื้อมือถือใหม่ไปเลย ความจริงแล้วยังมีทางแก้เบื้องต้นก็คือ ลบรูปภาพ วิดีโอ หรือแอปพลิเคชันที่ไม่จำเป็นออก แต่ถ้าลบเท่าไรพื้นที่ความจุเครื่องก็ยังไม่ค่อยเพิ่มสักที ให้ลองลบไฟล์ขยะจากแอปฯ ต่าง ๆ ออก ส่วนใหญ่จะเป็นแอปฯ ที่ใช้งานบ่อยอย่าง Facebook, LINE เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้พื้นที่ว่างเพิ่มขึ้นแล้ว หรือจะย้ายไฟล์เก่า ๆ ไปเก็บไว้บน Cloud เช่น Google Drive หรือ Dropbox แล้วลบไฟล์เก่าในเครื่องทิ้งก็ได้เหมือนกัน
เพราะมือถือที่ผ่านการใช้งานมานาน ย่อมมีไฟล์ขยะและอื่น ๆ สะสมตามระยะเวลาการใช้งาน แต่จะให้ไล่ค้นหาแล้วลบทีละไฟล์ก็เป็นเรื่องเสียเวลา หรือเกิดลบผิดลบถูกขึ้นมาอาจสร้างปัญหาเพิ่มได้ ทางที่ดีควรสำรองไฟล์ในมือถือเอาไว้ แล้ว Reset ตัวเครื่องใหม่ เพื่อล้างการตั้งค่าใหม่หมด ก็จะได้มือถือเครื่องใหม่ในร่างเดิมกลับมาอีกครั้ง
แอปพลิเคชันที่มีอยู่ใน App Store ของไอโฟน และ Google Play Store ของแอนดรอยด์นั้นถือว่าเยอะมาก ๆ เมื่อเทียบกับสมัยก่อนที่สมาร์ตโฟนเพิ่งถือกำเนิดขึ้นมา ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องหาแอปพลิเคชันจากแหล่งอื่นมาใช้งานอีกต่อไป เพราะแอปฯ ที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบจาก App Store และ Google Play Store อาจมีมัลแวร์แฝงหรือก่อให้เกิดอันตรายกับตัวเครื่องได้
ถึงแม้ว่าแบตเตอรี่มือถือจะมีความจุมากแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ต้องมีวันที่แบตฯ หมดกลางคันกันบ้าง นอกจากจะพกแบตเตอรี่สำรองหรือสายชาร์จเตรียมไว้ จึงควรตั้งค่าให้ใช้งานโหมดประหยัดพลังงานเมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมด หรืออาจตั้งค่าอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ปิด Wi-Fi, Bluetooth เพื่อไม่ให้ค้นหาสัญญาณระหว่างที่ไม่ได้ใช้งาน รวมทั้งปิดการปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัติ และปรับแสงหน้าจอให้สว่างพอดีเพื่อถนอมสายตาและลดการกินไฟ
ใครที่ใช้สมาร์ตโฟนน่าจะได้ยินคำนี้กันบ่อย โดยเฉพาะหลาย ๆ รุ่นที่ต้องอัปเดตระบบปฏิบัติการเป็นเวอร์ชั่นใหม่ ซึ่งการอัปเดตตัวเครื่องนั้นก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะมักจะมีการแก้ไขบั๊กให้มีประสิทธิภาพการใช้งานที่ดีขึ้น หรืออุดช่องโหว่ด้านความปลอดภัยต่าง ๆ แต่อย่าลืมเช็กว่าคนอื่น ๆ ที่ใช้สมาร์ตโฟนรุ่นเดียวกันนั้นเจอปัญหาหลังจากอัปเดตหรือไม่ หรือใครที่มั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหาใด ๆ ก็ทำการอัปเดตได้เลย
ใครที่เจอปัญหามือถือหนัก ๆ แล้วกำลังตัดสินใจว่าซื้อเครื่องใหม่เลยดีไหม ซึ่งจริง ๆ แล้วปัญหาบางอย่างสามารถแก้ไขเองได้ หรือถ้าไม่รู้วิธีแก้ปัญหา อย่างน้อยก็ให้เป็นหน้าที่ของศูนย์บริการหรือร้านซ่อมมือถือในการช่วยเหลือ เพราะบางปัญหาอาจเกิดจากความเข้าใจผิดของผู้ใช้มือถือก็ได้ แต่ถ้าเป็นปัญหาอย่างพวกตัวเครื่องค้าง กระจกหน้าจอแตก แบตเตอรี่เสื่อม ก็แนะนำให้ส่งศูนย์หรือร้านซ่อมจะดีกว่า ยิ่งถ้าเครื่องใครอยู่ในช่วงประกัน อาจได้ซ่อมฟรีก็ได้นะ
เห็นแบบนี้แล้ว การดูแลรักษามือถือให้ใช้งานได้ยาวนานก็ไม่ยากเลย เพียงแค่ใส่ใจและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดได้ทุกเมื่อ อย่างน้อย 10 วิธีเหล่านี้ก็เป็นวิธีการแก้ปัญหามือถือเบื้องต้นที่จะช่วยถนอมมือถือไม่ให้เสื่อมเร็ว และจะได้ใช้มือถือให้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปอีกด้วย
Write a Comment